รวบพนักงานเขตราชเทวี เรียกรับผลประโยชน์ 3.2 ล้าน แลกเลี่ยงเสียภาษี 40 ล้าน


5 เม.ย. 2566, 13:50

รวบพนักงานเขตราชเทวี เรียกรับผลประโยชน์ 3.2 ล้าน แลกเลี่ยงเสียภาษี 40 ล้าน




วันที่ 5 เมษายน 2566 ตำรวจกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) พร้อมด้วย นำกำลังเข้าจับกุม ปปง. นำกำลังเข้าจับกุม นายประมวล อายุ 57 ปี หัวหน้าฝ่ายรายได้ สำนักงานเขตราชเทวี ความผิดฐาน “เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149, “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต” มาตรา 157 ได้ที่บริเวณลานจอดรถ โรงแรมแห่งหนึ่งในพื้นที่ แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กทม.

สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจรับแจ้งจากผู้เสียหายกรณีเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตราชเทวี ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่เรียกรับเงินจากผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ให้บริษัทเข้าไปชำระภาษีโรงเรือนและที่ดิน พฤติการณ์ คือ จนท.สนง.เขต แจ้งให้บริษัทเข้าไปชำระภาษีโรงเรือนและที่ดิน ตามแบบ (ภ.ร.ด.2) และผู้เสียหายมอบหมายให้ ตัวแทนซึ่งเป็นพนักงานของ บริษัทเข้าไปติดต่อและต่อมาตัวแทนของผู้เสียหายกลับมาแจ้งให้ผู้เสียหายทราบว่า จนท.สนง.เขตราชเทวี บอกว่า บริษัทจะต้องชำระค่าภาษีประมาณ 40 กว่าล้านบาท หากนำเอาเงินมาให้ จนท.สนง.เขตราชเทวี รายดังกล่าว จำนวน 3 ล้านบาท จะเก็บเรื่องดังกล่าวไว้ ทำให้บริษัทไม่ต้องชำระเงินจำนวน 40 กว่าล้านบาท

จากนั้นบริษัทให้ตัวแทนติดต่อแจ้งว่ายอดภาษีที่แจ้งมานั้นมีจำนวนสูงเกินจริงซึ่ง จนท.สนง.เขต ตอบว่าเงินที่เคยเสนอไปจำนวน 3 ล้านบาท ขอเพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 3,500,000 บาท เพราะต้องเอาไปแบ่งกรรมการอีกหลายท่าน ต่อมาผู้ร้องเรียนแจ้งว่าจะนำพนักงานบัญชีของบริษัทไปขอทราบรายละเอียด ก็ได้คำตอบว่าสามารถลดราคาลงได้เหลือ 3,200,000 บาท ผู้ร้องเรียนเห็นว่าการกระทำดังกล่าวของ จนท.สนง.เขตราชเทวีเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย จึงมาร้องเรียนเพื่อให้ตรวจสอบและในขณะที่ผู้เสียหายได้ให้ถ้อยคำต่อพนักงานสอบสวนอยู่นั้น ตัวแทนของผู้เสียหายได้โทรศัพท์เข้ามาหา และแจ้งว่าได้นัดหมายกับ จนท.สนง.เขตราชเทวี คนดังกล่าวเพื่อให้เข้ามาพบผู้เสียหายในวันที่ 31 มีนาคม ที่ผ่านมา เวลา 14.00 น. ที่โรงแรมฯ เพื่อรับฟังรายละเอียดจาก จนท.สนง.เขตด้วยตนเอง

ต่อมาวันดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปปป.พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ช. และเจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ท. ประสานและวางแผนการจับกุมร่วมกับผู้เสียหายเพื่อกำหนดแนวทางและรวบข้อมูลพยานหลักฐาน จนกระทั่ง จนท.สนง.เขตฯ ขับรถมาที่โรงแรมฯ เพื่อพบตัวแทนผู้เสียหายเพื่อขึ้นไปพบกับผู้เสียหาย โดยทั้งสองพูดคุยเพื่อเจรจาต่อรองกันสรุปได้ว่าผู้เสียหายต้องจ่ายเงินทั้งสิ้นเป็นเงินจำนวน 3,200,000 บาท พร้อมทั้งนัดหมายส่งมอบเงินให้กับ จนท.สนง.เขต วันที่ 4 เม.ย. เวลา 14.00 น.

ต่อมาวันที่ 3 เมษายน เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปปป.พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ช. และเจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ท. ผู้เสียหายนำเงินสดจำนวนทั้งสิ้น 3,200,000 บาท มาลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่ กก.1 บก.ปปป.เพื่อเป็นพยานหลักฐาน

ต่อมาวันที่ 4 เมษายน เวลาประมาณ 14.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปปป.พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ช. และเจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ท. ร่วมกันวางแผนเพื่อแสวงหาพยานหลักฐานและรวบรวมพยานหลักฐาน โดยให้ ผู้เสียหายนำเงินสดซึ่งลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานแล้ว นำมามอบให้ จนท.สนง.เขต ที่ โรงแรม โดยมีเจ้าหน้าที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่บริเวณโดยรอบ และเมื่อผู้เสียหายได้ส่งมอบเงินแล้ว จนท.สนง.เขตกำลังเดินทางกลับเมื่อถึงบริเวณลานจอดรถโรงแรม เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานเพื่อเข้าทำการตรวจค้น ขณะทำการตรวจค้น พบว่ามีเงินสด 3,200,000 บาท อยู่ภายในถุงกระดาษสีขาว ที่ จนท.สนง.เขตถือติดตัวมาด้วย เจ้าหน้าที่จึงทำการตรวจสอบเงินสดต่อหน้าผู้ต้องหา พบว่าหมายเลขธนบัตรตรงกับหมายเลขธนบัตรที่ลงบันทึกประจำวันไว้ จึงได้แจ้งพฤติการณ์และข้อกล่าวหาให้ผู้ต้องหาทราบ นำส่ง พงส.กก.1 บก.ปปป. โดย พงส. บก.ปปป. จะสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อนำส่งสำนวนให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาตามกฎหมายต่อไป

สอบถามผู้ต้องหา ให้การปฏิเสธตลอดในข้อกล่าวหา โดยให้การว่าสิ่งของที่รับมาจากผู้เสียหายนั้นคิดว่าเป็นเอกสาร แต่รับว่ารับสิ่งของดังกล่าวมาจากผู้เสียหายจริง





คำที่เกี่ยวข้อง : #เรียกรับเงิน  









©2018 CK News. All rights reserved.