หลังจากเมื่อวันที่ 2 ส.ค. 64 บริษัท รีพอร์ตเตอร์ ฯ ผู้ผลิตและนำเสนอข่าวออนไลน์ พร้อมด้วยกลุ่มบรรณาธิการ และหัวหน้ากองข่าว สำนักข่าวออนไลน์ THE STANDARD, ประชาไท, THE MATTER, สำนักข่าววอยซ์ทีวี , way magazine, The Momentum, The People, PLUS SEVEN, echo (เอคโค่), แอดมินเพจเฟซบุ๊ก DemAll และสมาพันธ์สื่อไทยเพื่อประชาธิปไตย และประชาชนเบียร์ ได้ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องคดีแพ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ความผิดเรื่องขอให้เพิกถอนข้อกำหนดตาม พ.ร.บ.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2558 จากกรณีที่ข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฯ ประกาศฉบับที่ 29 ลงวันที่ 29 ก.ค.64 ซึ่งให้อำนาจ กสทช. ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต ผู้โพสต์ข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวนั้นดำเนินการโดยไม่มีอำนาจ อีกทั้งไม่มีความจำเป็นและ ไม่ได้สัดส่วน รวมขัดต่อรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2560 ด้วย
โดยโจทก์ซึ่งเป็นกลุ่มสำนักข่าว ได้ยื่นคำขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินเพื่อกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวด้วยนั้น ในวันเดียวกันนี้ช่วงบ่ายศาลได้รับคำฟ้องไว้และมีคำสั่งให้ไต่สวนฉุกฉินแล้ว
กระทั่งเมื่อเวลา 20.00 น.ศาลแพ่ง จึงมีคำสั่งให้นัดฟังคำสั่งเกี่ยวกับผลการไต่สวนฉุกเฉินคดีนี้ ในวันศุกร์ที่ 6 ส.ค.นี้ เวลา 13.30 น.
ขณะที่ศาลแพ่ง ได้สรุปการไต่สวนฉุกเฉืนคดีเป็นเอกสารข่าวแจกสื่อมวลชน เนื้อหาสรุปว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณะว่า ในวันนี้เวลา 11.00 น. บริษัท รีพอร์ตเตอร์ โปรดักชั่น จำกัด กับพวกรวม 12 คน ยื่นฟ้อง พล.อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นคดีต่อศาลแพ่ง ในคดีหมายเลขดำ พ.3618/2564 ขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนข้อกำหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 29) ลงวันที่ 29 ก.ค.64 พร้อมยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในกรณีฉุกเฉินโดยขอให้ศาลมีคำสั่งให้ระงับการบังคับใช้ข้อกำหนดดังกล่าว และห้ามมิให้นำมาตรการคำสั่งหรือการกระทำใด ๆ ที่สั่งการตามประกาศดังกล่าว มาใช้กับฝ่ายโจทก์ ประชาชนและสื่อมวลชนจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีนี้
ศาลแพ่ง ได้ออกนั่งพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อกำหนดดังกล่าวไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองและกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีทางปกครอง ตามมาตรา 16 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 อันทำให้การฟ้องคดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ทั้งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 194 บัญญัติว่าศาลยุติธรรมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง เว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลอื่น กรณีจึงเห็นได้ว่าศาลยุติธรรมเป็นศาลที่มีเขตอำนาจทั่วไป คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลนี้ ให้รับคำฟ้อง สำเนาให้จำเลย ให้โจทก์ทั้งสิบสอง นำส่งภายใน7 วันนับแต่วันนี้ส่งไม่ได้ให้แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายใน 15 วันนับแต่ส่งไม่ได้ หากไม่ปฏิบัติถือว่าทิ้งฟ้อง แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ทวีความรุนแรงในชั้นนี้จึงไม่อาจกำหนดวันนัดได้หากสถานการณ์คลี่คลายศาลจะแจ้งให้โจทก์ทั้งสิบสองมากำหนดวันนัดเพื่อส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลย และดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
สำหรับคำร้องขอไต่สวนฉุกเฉินคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษานั้น ศาลทำการไต่สวนแล้วเสร็จ โดยเพื่อให้การพิจารณาสั่งคำร้องขอไต่สวนฉุกเฉินคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีพิพากษาเป็นไปด้วยความรอบคอบ จึงเห็นควรให้นัดฟังคำสั่งวันที่ 6 ส.ค.นี้ เวลา 13.30 น.
©2018 CK News. All rights reserved.