วันที่ 7 ก.ค. 64 ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก Yong Poovorawan หัวข้อ ระบุว่า
“โควิด19 วัคซีน การฉีดเข็ม 1 และเข็ม 2 สลับชนิดกัน”
ปัจจุบันยังแนะนำ ให้ฉีดวัคซีนป้องกัน covid 19 เข็ม 1 และเข็ม 2 เป็นชนิดเดียวกัน
ขณะนี้เริ่มมีแนวโน้ม มีข้อมูล และกำลังศึกษาเกี่ยวกับการฉีดต่างชนิดของวัคซีนใน เข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 เช่นการให้ virus vector (AstraZeneca) สลับกับ mRNA (Pfizer) และเริ่มมีการยอมรับมากขึ้น
สำหรับประเทศไทยขณะนี้เรามีวัคซีนเชื้อตาย (Sinovac. sinopharm) กับ virus vector (AstraZeneca) และในชีวิตจริง ในบางรายที่แพ้วัคซีนเข็มแรก วัคซีนเข็ม 2 ให้ต่างชนิดกัน ขณะนี้มีเป็นจำนวนมากพอสมควร เข้าใจว่ามีมากกว่า 1000 ราย การศึกษาของศูนย์ ได้ทำการศึกษาการสลับชนิดของวัคซีน ที่อยู่ระหว่างการศึกษา
พบว่าการให้เข็มแรกเป็นวัคซีนเชื้อตาย (Sinovac) และอีก 3-4 สัปดาห์ต่อมา ให้วัคซีน virus vector (AstraZeneca) ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้น ได้ปริมาณที่สูงมาก สูงกว่าการให้วัคซีนเชื้อตาย (Sinovac) 2 เข็มห่างกัน 3-4 สัปดาห์ ประมาณ 8 เท่า หรือสูงกว่าภูมิต้านทานที่เกิดจากการติดเชื้อจริงในผู้ป่วยประมาณ 10 เท่า และน้อยกว่าการให้วัคซีน virus vector AstraZeneca 2 ครั้งห่างกัน 10 สัปดาห์ อยู่เพียงเล็กน้อย
การให้วัคซีนสลับ เข็มแรกเชื้อตาย เข็มที่ 2 เป็นไวรัสเวกเตอร์ (ห่างกัน 3-4 สัปดาห์) จะทำให้ผู้ที่ได้รับวัคซีนได้ภูมิต้านทานสูงในเวลาเพียง 6-8 สัปดาห์ ซึ่งต่างกับผู้ที่ได้รับวัคซีนไวรัสเวกเตอร์ 2 ครั้ง(ห่างกัน 10 สัปดาห์) กว่าจะได้ภูมิต้านทานสูงดังกล่าวต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 12 – 14 สัปดาห์
ข้อมูลดังกล่าวจึงเป็นประโยชน์ ในช่วงที่มีการระบาดอย่างมาก และทำให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนมีภูมิสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และในขณะเดียวกันการบริหารวัคซีนก็จะง่ายขึ้น ในกรณีที่มีวัคซีน ในปริมาณจำกัด การศึกษาทั้งหมดน่าจะเห็นชัดเจนขึ้นภายในสิ้นเดือนนี้
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ได้ยังเป็นข้อมูลที่ศึกษาระดับภูมิต้านทาน สิ่งที่สำคัญจะต้องทำการศึกษาต่อ คือความสามารถในการป้องกันโรค ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าระดับภูมิต้านทานที่สูงกว่ามีโอกาสที่จะป้องกันโรคและความรุนแรงของโรคได้มากกว่า การศึกษาในวงกว้างก็ยังมีความจำเป็นที่จะให้ทราบถึงประสิทธิภาพของวัคซีนในการป้องกันโรคถ้าให้วัคซีนสลับกัน
©2018 CK News. All rights reserved.