เมื่อวันที่ 29 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าช่วงเย็นวานนี้ (28 เม.ย.) ที่สภ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี นางอำไพ จิตรักมั่น อายุ 79 ปี และ นายนพ จิตรักมั่น อายุ 79 ปี สองสามีภรรยาชาว อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ได้นำหลักฐานใบอนุโมทนาบุญเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ พ.ต.ท.วรทัศน์ วัฒนชัยนันท์ รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.บางใหญ่ ให้การอ้างว่า ร่วมกันทำบุญสร้างอุโบสถหลังใหม่ให้วัดเป็นเงิน 1 ล้านบาท แต่ผ่านมาเนินนานไม่มีการก่อสร้าง จึงไปขอเงินคืนแต่ได้รับการบ่ายเบี่ยง โดยเมื่อวันที่ 19 ก.ค.62 นายอานนท์ณัฎฐ์ เล็กเนียม อายุ 69 ปี ไวยาวัจกร วัดศรีราษฎร์ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ได้ขับรถมารับพวกตนที่บ้านไปเบิกเงินที่ธนาคารเป็นเงินสด 1 ล้านบาท เพื่อบริจาคทำบุญสร้างอุโบสถ และได้มอบใบอนุโมทนาบุญระบุจำนวนเงินดังกล่าวไว้ให้ แต่ผ่านไป 2 ปี ไปทำบุญพบว่ายังไม่มีการเริ่มโครงการสร้างพระอุโบสถแต่อย่างใด จึงไปสอบถาม นายอานนท์ณัฏฐ์ ได้รับคำตอบว่าติดปัญหาชาวบ้านไม่ยอมให้สร้างเพราะเป็นที่จอดรถ ประกอบกับมีการแพร่ระบาดโควิด พอขอเงินคืนก็บอกว่ามีการออกใบอนุโมทนาแล้ว จึงเข้ามาแจ้งความตำรวจช่วยเหลือ ทั้งนี้ หากทางวัดยังคงสร้างอุโบสถก็ยินดีบริจาคเงินส่วนนี้เหมือนเดิม
ด้าน พระครู นนทธรรมาภิมุก เจ้าอาวาสวัดศรีราษฎร์ เปิดเผยว่า นายอานนท์ณัฏฐ์ เป็นไวยาวัจกรของวัดจริง แต่ขอลาออกไปเมื่อปี 56 แต่อาตมายังไม่ได้แจ้งไปทางเจ้าคณะอำเภอ ซึ่งเจ้าตัวเองก็มีปัญหากับทางวัดและชาวบ้านเสมอมา ส่วนใบอนุโมทนาบัตร ยอมรับว่าเป็นใบอนุโมทนาบัตรของทางวัดจริง และอาตมาก็เซ็นจริง เนื่องจากเขาเข้ามาแจ้งว่า ผู้เสียหายบริจาคเงินจำนวนดังกล่าวเพื่อสร้างอุโบสถให้กับทางวัด ขอให้อาตมาเซ็นให้ เมื่อถึงเวลาจริงก็มีปัญหาหลายอย่างไม่สามารถสร้างอุโบสถได้ อีกทั้งเงินในบัญชีของผู้เสียหายที่บริจาคมา เท่าที่ทราบอยู่ในบัญชีมีชื่อร่วมกัน 5 คน แต่ก็ไม่เคยเห็นสมุดเพราะ นายประหยัด แก้วด้วง ผู้ใหญ่บ้านเป็นคนเก็บ หากจะเบิกออกมาต้องใช้ลายเซ็น 3 ใน 5 จึงจะเบิกได้ หากเป็นไปได้ก็อยากให้ตายายได้เงินกลับคืนไปเรื่องจะได้จบ
ต่อมาผู้สื่อข่าว พร้อมด้วยผู้เสียหายและชาวบ้านจำนวนหนึ่ง เดินทางไปพบกับ นายประหยัด ผู้ใหญ่บ้าน และนายอานนท์ณัฏฐ์ ไวยาวัจกร เพื่อสอบถามถึงปัญหาที่เกิดขึ้น โดย นายอานนท์ณัฏฐ์ และนายประหยัด ได้นำหลักฐานต่างๆมาแสดงให้เห็นว่ามีโครงการก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหม่จริง และเงินที่รับบริจาคมาก็ยังอยู่ไม่ได้นำไปใช้แต่อย่างใด ทาง 2 ตายายจึงขอให้นำสมุดบัญชีมาให้ดู ตรวจสอบพบว่ามียอดเงิน 6.5 ล้านบาท เป็นหลักฐานยืนยันว่าเงินในบัญชียังอยู่ครบ แต่เพื่อความสบายใจทั้งสองตายายจึงอยากได้เงินคืนกลับมาก่อน และทั้งสองก็ยินดีคืนเงิน 1 ล้านบาทให้กับ 2 ตายาย เพื่อยืนยันว่าทั้งคณะกรรมการร่วมที่มีชื่อ 5 คนไม่ได้คิดจะโกงเงินหรือเอาเงินไปใช้ส่วนตัว ซึ่งสองตายยายก็เข้าใจและยังยืนยันว่าหากมีการสร้างอุโบสถจริงเมื่อไรก็พร้อมจะร่วมทำบุญอย่างแน่นอน.
©2018 CK News. All rights reserved.