เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย เปิดเกมรุกช่วงโค้งสุดท้ายปี 68 จัดใหญ่“ออลอินวันเมกะอีเว้นท์ขับเคลื่อนอุตฯ โครงสร้างพื้นฐานไทย-อาเซียน“


19 ส.ค. 2568, 20:23

เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย เปิดเกมรุกช่วงโค้งสุดท้ายปี 68 จัดใหญ่“ออลอินวันเมกะอีเว้นท์ขับเคลื่อนอุตฯ โครงสร้างพื้นฐานไทย-อาเซียน“




วันที่ 19 สิงหาคม 2568 – บริษัท เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย เผยอาเซียนกำลังก้าวสู่การยกเครื่องโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ คาดเม็ดเงินลงทุนราว 26 ล้านล้านเหรียญฯ ภายในปี 2030 ขับเคลื่อนเมกะเทรนด์ 4 เสาหลัก ได้แก่ พลังงาน การขนส่ง เทคโนโลยีดิจิทัล และการพัฒนาเมือง ส่งผลเพิ่มความต้องการวัสดุโครงสร้างพื้นฐานคุณภาพสูง ทั้งเหล็ก ลวด ท่อ และโลหะที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน เตรียมปักหมุด 3 มหกรรมอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ แบบ All-in-One ได้แก่ “Wire & Tube Southeast Asia 2025” ครั้งที่ 16 พร้อม “GIFA Southeast Asia 2025” และ “METEC Southeast Asia 2025” รวบรวมผู้ประกอบการและนวัตกรรมจากทั่วโลก พร้อมเวทีเสวนาวิชาการ และโซนจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) เพื่อสร้างโอกาสการค้า การลงทุน และความร่วมมือด้านเทคโนโลยีอย่างครบวงจร เพื่อยกระดับและเชื่อมโยงอุตสาหกรรมไทยกับภูมิภาค ระหว่างวันที่ 17-19 กันยายน 2568 ณ ฮอลล์ 102-103 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา



นายเกอร์นอท ริงลิ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย กล่าวว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานของภูมิภาคอาเซียนได้แสดงศักยภาพการเติบโตอย่างโดดเด่น ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของภูมิภาคและเศรษฐกิจโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย คาดว่าจะมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ประมาณ 26 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2030 เพื่อใช้ในการพัฒนาด้านการผลิตไฟฟ้าประมาณ 14.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้านระบบขนส่งประมาณ 8.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้านโทรคมนาคมประมาณ 2.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ เพื่อรองรับการเติบโตของด้านเศรษฐกิจดิจิทัลประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและตอบโจทย์การเจริญเติบโตของเมืองที่กำลังขยายตัว และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ซึ่งเป็นเป้าหมายร่วมกันของทั้งภูมิภาคการเปลี่ยนแปลงดังล่าวส่งผลให้ปริมาณการใช้เหล็กในประเทศไทยปี 2025 มีแนวโน้มขยายตัว 1.7% อยู่ที่ประมาณ 16.2 ล้านตัน ได้รับแรงหนุนหลักจากโครงการก่อสร้างภาครัฐและเมกะโปรเจกต์ด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ รถไฟความเร็วสูง สนามบิน รวมถึงโครงการเมืองอัจฉริยะ และยังเร่งลงทุนในโรงงานผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์เหล็กคุณภาพสูงเพื่อแข่งขันในตลาดที่ต้องการมาตรฐานและความยั่งยืน แม้ราคาตลาดเหล็กมีแนวโน้มลดลงเฉลี่ย 4.8% จากการแข่งขันและการนำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ แต่ผู้ประกอบการไทยยังคงมุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่าและสร้างความแตกต่างผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต การใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ และการปรับปรุงกระบวนการเพื่อลดต้นทุนและลดการปล่อยคาร์บอน ขณะเดียวกันตลาดลวดในเอเชียแปซิฟิก ซึ่งมีมูลค่า 81.2 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 6.43% ต่อปี จนถึงปี 2032



ส่วนภาพรวมตลาดโลกของสายไฟฟ้าและสายคอนโทรลก็มีแนวโน้มเติบโต 7.2% ต่อปีจากการขยายตัวของเมือง อุตสาหกรรมพลังงาน และโทรคมนาคม ตลาดท่อพลาสติกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีมูลค่า 9.09 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 และคาดว่าจะเติบโตสูงถึง 14.3% ต่อปีถึงปี 2030 ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ผู้ผลิตไทยมีโอกาสเพิ่มศักยภาพทั้งในตลาดภายในประเทศและการส่งออก ต่อยอดสู่การเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดวัสดุโครงสร้างพื้นฐานของภูมิภาค ในช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมวัสดุโครงสร้างของอาเซียนกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย จึงผนึกกำลังเครือข่ายพันธมิตร เปิดเวที 3 มหกรรมอุตสาหกรรมสำคัญสำหรับผู้ประกอบการโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคผ่านงาน Wire & Tube Southeast Asia 2025 ควบคู่ GIFA และ METEC Southeast Asia 2025 โดยภายในงานออกแบบให้เป็นแพลตฟอร์ม All-in-One ที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นยันปลายน้ำ ทั้งการเปิดพื้นที่ Business Matching สร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการเกิดการจับคู่ธุรกิจร่วมกับผู้ลงทุน สร้างพื้นที่แสดงผลิตภัณฑ์แร่ เหล็ก ลวด ท่อที่มีคุณภาพตอบโจทย์ดีมานด์ที่เน้นการพัฒนาเมกะโปรเจกต์ที่เน้นคุณภาพที่ยั่งยืนมากกว่าปริมาณ พร้อมรวมตัวผู้ประกอบการทั่วประเทศไทยและเอเชีย เพื่อรองรับความต้องการของอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนไป แลกเปลี่ยนความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรม และเปิดโอกาสทางธุรกิจระหว่างประเทศ

“ภายในงานจะมีผู้แสดงสินค้ากว่า 400 รายจากกว่า 25 ประเทศ และนำเสนอเทคโนโลยีล่าสุดและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมยุคใหม่จาก 4 อุตสาหกรรม อาทิ เหล็กสีเขียว (Green Steel) ท่อ High Density Polyethylene (HDPE) ไปจนถึงสายเคเบิลอัจฉริยะ ที่พร้อมรองรับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ระบบพลังงานหมุนเวียน และเครือข่ายดิจิทัลขั้นสูงที่มีความยั่งยืนสอดรับเศรษฐกิจ Net-Zero สู่การสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรม พร้อมกันนี้ยังเป็นการตอกย้ำบทบาทของไทยในฐานะจุดหมายปลายทางหลักของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาค สอดรับกับเป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืนของอาเซียน ทั้งช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถหาทิศทางยกระดับมาตรฐานสู่ระดับสากล ตอกย้ำบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางนวัตกรรมของอุตสาหกรรมวัสดุโครงสร้างพื้นฐานในอาเซียนอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

นอกจากนี้ยังมีไฮไลต์เวทีสัมมนาวิชาการและเทคนิคตลอด 3 วันของงาน ที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ ผู้เชี่ยวชาญ และนักลงทุนได้อัปเดตองค์ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์เชิงลึก อาทิ การเจาะลึกแนวทางปรับปรุงประสิทธิภาพระบบ Sand Plant เพื่อตอบโจทย์โรงงานหล่อโลหะไทยอย่างตรงจุด การสำรวจเทรนด์ เทคโนโลยี และแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในการพัฒนาอุตสาหกรรมสายไฟและสายเคเบิลสู่อนาคต การสร้างความปลอดภัยและการลดความเสี่ยงจากเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม การใช้เครื่องมือ Simulation รุ่นใหม่สามารถยกระดับประสิทธิภาพ ความแม่นยำ และผลิตภาพในการดำเนินงานโรงงานหล่อโลหะยุคใหม่ การถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีการผลิตท่อสมัยใหม่เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย โดยJapan Society of Technology of Plasticity & มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี

”สำหรับความสำเร็จการจัดงาน Wire & Tube Southeast Asia 2023 มีผู้แสดงสินค้ากว่า 254 ราย จาก 24 ประเทศและภูมิภาค ตบเท้าเข้าร่วมนำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนการลงทุนระดับโลก ขณะเดียวกันยังดึงดูด ผู้เข้าชมงานกว่า 6,350 ราย ซึ่งกว่า 24% เป็นนักธุรกิจและนักลงทุนจากต่างประเทศ ตอกย้ำความเป็นงานระดับนานาชาติที่เชื่อมต่ออุตสาหกรรมไทยกับตลาดโลกโดยตรงนอกจากนี้ ยังมี คณะผู้แทนจาก 54 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เข้าร่วมเจรจาและจับคู่ธุรกิจ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยในฐานะ “ฮับเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานของอาเซียน” ที่พร้อมรองรับเมกะเทรนด์การลงทุน และต่อยอดสู่ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์”นายเกอร์นอท กล่าวเพิ่มเติม 

 



นายกรกิจ เงาเบญจกุล เลขาธิการสมาคมอุตสาหกรรมหล่อโลหะไทย เปิดเผยว่าประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมโลหะ โดยอุตสาหกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในภาคการผลิตของประเทศ มีการพัฒนามาอย่างยาวนานของภูมิภาคอาเซียน ด้วยระบบโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมที่ครบวงจร นอกจากนี้ ไทยยังมีฐานการผลิตที่เชื่อมโยงกันอย่างมีประสิทธิภาพในหลายภูมิภาคของประเทศ ส่งผลให้สามารถรองรับความต้องการจากทั้งตลาดในประเทศและการส่งออกได้อย่างต่อเนื่อง ความได้เปรียบด้านที่ตั้งทางภูมิศาสตร์กลางภูมิภาคช่วยให้ไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการเชื่อมโยงการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างรวดเร็วและต้นทุนต่ำ อีกทั้งยังมีระบบโลจิสติกส์และการขนส่งที่ทันสมัยซึ่งสนับสนุนการกระจายสินค้าสู่ตลาดสำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิผล และมีความมั่นคงในเชิงการผลิต ปัจจุบันผู้ประกอบการไทยได้เร่งปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับข้อกำหนดใหม่ ๆ ด้านสิ่งแวดล้อมและการใช้พลังงานสะอาด โดยนำแนวคิดการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้จริง ทั้งในกระบวนการผลิต การจัดหาวัตถุดิบ และการจัดการของเสีย ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการเข้าถึงตลาดยุโรป อเมริกา และเอเชียตะวันออกที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน



“ด้วยหลายสถานการณ์ในปีนี้ ทำให้อุตสาหกรรมการหล่อโลหะถูกจับตาในด้านความเชื่อมั่น รวมถึงเป็นโอกาสสำหรับประเทศในด้านการสร้างแต้มต่อการแข่งขันที่มากขึ้น โดยหากผู้ผลิตและภาคอุตสาหกรรมของไทยต้องการความเชื่อมั่นที่สูงขั้นจะต้อง ดำเนินการในหลายด้านควบคู่กัน ไม่ว่าจะเป็น การยกระดับมาตรฐานการผลิตและคุณภาพให้สอดคล้องกับข้อกำหนดสากล ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย และความยั่งยืน การลงทุนและพัฒนานวัตกรรมการผลิต เช่น เทคโนโลยี Green Steel ระบบอัตโนมัติ และการจำลองด้วยดิจิทัล เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ การสร้างห่วงโซ่อุปทานและระบบโลจิสติกส์ที่มั่นคง โปร่งใส และส่งมอบตรงเวลา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นระยะยาวในตลาดโลกการต่อยอดความร่วมมือกับพันธมิตรต่างประเทศ ทั้งด้านเทคโนโลยี มาตรฐาน และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เพื่อผลักดันไทยสู่บทบาทผู้นำในภูมิภาค”

 



นายพงศภัค นครศรี นายกสมาคมการค้าผู้ผลิตสายไฟฟ้าไทย และ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานขายและการตลาด บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด หรือ BCC กล่าวว่า ธุรกิจสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลมีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนระบบพลังงาน การสื่อสาร และโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจยุคใหม่ ครอบคลุมตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบหลัก เช่น ทองแดง อะลูมิเนียม และเม็ดพลาสติก ผ่านกระบวนการผลิตมาตรฐานสูง ทั้งการรีดเส้นโลหะ ตีเกลียว หุ้มฉนวน ประกอบสาย และทดสอบคุณภาพ ก่อนจำหน่ายเพื่อติดตั้งในโครงการก่อสร้าง ระบบสาธารณูปโภค และอุปกรณ์ไฟฟ้า-อิเล็กทรอนิกส์ โดยในปี 2568 ตลาดสายไฟและสายเคเบิลไทยมีมูลค่ารวมราว 55,000 ล้านบาท ขับเคลื่อนด้วยการลงทุนโครงการด้านสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ อาคารที่อยู่อาศัยและพาณิชยกรรม ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและดิจิทัล เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมการผลิตสายไฟฟ้าและสายเคเบิลของประเทศไทยให้มีมาตรฐานและศักยภาพในการแข่งขันกับนานาประเทศ ผู้ผลิตรายใหญ่ 5 ราย นำโดย BCC จึงร่วมกันจัดตั้ง “สมาคมการค้าผู้ผลิตสายไฟฟ้าไทย” ขึ้น ด้วยพันธกิจหลักในการส่งเสริมคุณภาพผลิตภัณฑ์ ปกป้องตลาดในประเทศจากสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน พัฒนาความรู้และศักยภาพของสมาชิก รวมถึงทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการประสานงานกับภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคีเครือข่ายในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาคกับสมาคมผู้ผลิตสายเคเบิลในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ มาตรฐาน และวิธีการทดสอบคุณภาพ ต่อยอดเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในอุตสาหกรรมสายเคเบิล เพื่อผลักดันให้อุตสาหกรรมสายไฟฟ้าและสายเคเบิลไทยเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำในตลาดภูมิภาคอย่างมั่นคง



สำหรับมหกรรมเทคโนโลยีการผลิตลวด สายเคเบิล ท่อ และอุตสาหกรรมโลหะ Wire & Tube - GIFA - METEC Southeast Asia 2025 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17–19 กันยายน 2568 ณ ฮอลล์ 102–103 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา โดยจะมีผู้ประกอบการจากไทยและทั่วเอเชียมาร่วมจัดแสดงสินค้าคุณภาพ
พร้อมพื้นที่จับคู่ธุรกิจ (Business Matching) และเวทีเสวนา (Talk Session) ครอบคลุมประเด็นเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.wire-southeastasia.com
เพื่อไม่พลาดโอกาสสำคัญในการก้าวสู่อนาคตของอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานไทยและอาเซียน






คำที่เกี่ยวข้อง : #เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย  









©2018 CK News. All rights reserved.