สตม.จับหน.แก๊งผิวสีหลอกขายเม็ดทองปลอม


5 ก.พ. 2568, 14:05

สตม.จับหน.แก๊งผิวสีหลอกขายเม็ดทองปลอม




วันที่ 5 ก.พ.2568 ตามนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร., พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงาน
ตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จตช./ผอ.ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ สตม. สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ
หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ รอง ผบช.สอท.รรท.รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ภานพ วรธนัชชากุล ผบก.น.8 รรท.ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา
สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ช่วยราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ธวัชชัย นรินรัตน์ ผกก.1 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.พิสิษฐ์ ศรีอ่อน ผกก.2 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐพงศ์ แก้วยอด ผกก.4 บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญดังนี้

1. สตม. รวบชายผิวสีแดนหมอผีหลอกขายดอลลาร์หวังเชิดเงิน

กก.1 บก.สส.สตม. ได้ทำการสืบสวนเกี่ยวกับพฤติกรรมของชายผิวสีหลอกลวงขายเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยมี
การเสนอขายผ่านทางเว็บไซต์เพื่อให้คนที่สนใจติดต่อซื้อ มีการโชว์เงินดอลลาร์สหรัฐฉบับของจริง และเสนอขายฉบับละ
100 ดอลลาร์ในราคาเพียง 20 ดอลลาร์ เมื่อมีคนสนใจก็จะติดต่อกันผ่านทางไลน์และจะส่งสินค้าที่เป็นรูปเงินสกุล
ดอลลาร์สหรัฐให้กับลูกค้าดูและถ้าลูกค้าต้องการก็จะให้โอนเงินวางมัดจำก่อน 20 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อได้เงินมัดจำจาก
ลูกค้าแล้วก็จะหนีไป เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.สส.สตม. จึงให้สายลับทำการแอดไลน์ ID 08 3129 xxxx ซึ่งขึ้นชื่อว่า
john Emmxxxxx Dr และติดต่อเพื่อขอซื้อเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งชายผิวสีได้บอกกับสายลับผ่านทางแชทไลน์ว่า
เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ฉบับละ 100 ดอลลาร์ ราคา 20 ดอลลาร์ โดยเสนอให้สายลับซื้อเป็นจำนวนเงิน 100,000
ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อแลกกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐจำนวน 500,000 เหรียญ หรือประมาณ 17,000,000 บาท
แต่สายลับต้องโอนเงินมัดจำ 20 เปอร์เซ็นต์ (ประมาณ 700,000 บาท) เข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทย บัญชีเลขที่
081268XXXX ระบุชื่อ TENKEU JEXX JUXXX ก่อน แต่สายลับยังไม่ตกลงตามข้อเสนอ และขอนัดพบกันเพื่อขอดู
เงินดอลลาร์สหรัฐก่อนว่าเป็นของจริงหรือไม่ ต่อมาชายผิวสีได้นัดกับสายลับให้ไปพบเพื่อซื้อตัวอย่างเงินดอลลาร์ จำนวน
300 ดอลลาร์ โดยตกลงราคากันที่ 2,500 บาท ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในซอยรามคำแหง 22 ถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก
เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ กก.1 บก.สส.สตม. จึงได้ไปวางกำลังเฝ้าสังเกตการณ์ เมื่อถึงเวลานัดหมายชายผิวสีได้มาพบกับ
สายลับและได้ส่งมอบเงินที่ตกลงซื้อขายกัน โดยชายผิวสีได้แจ้งให้สายลับโอนเงินเข้าบัญชี เลขที่ 081268XXXX
จำนวน 700,000 บาท เพื่อตนเองจะได้นำเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ส่วนที่เหลือมาให้ สายลับไม่ตกลงที่จะโอนและได้ส่ง
สัญญาณให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าทำการตรวจสอบชายผิวสี จากการตรวจสอบหนังสือเดินทาง ชายผิวสีดังกล่าว
คือ MR.TENKEU (สงวนนามสกุล) อายุ 53 ปี สัญชาติแคเมอรูน และตรวจสอบในกระเป๋าถือสีดำพบธนบัตรไทยจำนวน
2,500 บาท ซึ่งเป็นธนบัตรที่ใช้ในการล่อซื้อ จากการสอบถาม MR.TENKEU ให้การรับว่าหากสายลับโอนเงินจำนวน
700,000 บาท เข้าบัญชีธนาคารของตนเองแล้ว ก็จะหลอกให้สายลับรอเพื่อตนเองจะได้ไปนำเงินสกุลดอลลาร์ส่วนที่เหลือมาให้ซึ่งไม่ได้มีจริง มีเพียงเงินสกุลดอลลาร์ฉบับจริงที่นำมาให้สายลับดูเป็นตัวอย่างเท่านั้น ซึ่งพฤติการณ์
การหลอกลวงของ MR.TENKEU ดังกล่าว เข้าลักษณะเป็นภัยต่อสังคม ผบก.สส.สตม. จึงได้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ใน
ราชอาณาจักร พร้อมกับขึ้นบัญชีเป็นบุคคลต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักร และจะได้ผลักดันส่งกลับประเทศแคเมอรูน
ต่อไป

2. สตม.จับหัวหน้าแก๊งผิวสีหลอกขายเม็ดทองปลอมอาศัยทีเผลอแอบสลับเงินปลอม กว่า 1.1 ล้านบาท

กก.1 บก.สส.สตม. จับกุมนาย Bobby (นามสมมติ) อายุ 30 ปี สัญชาติไลบีเรีย ผู้ต้องหาตามหมายจับ
ศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ จ.128/2567 ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2567 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ลักทรัพย์ โดยร่วม
กระทำความผิดกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ดำเนินคดีตามกฎหมาย
จากกรณีที่ กก.1 บก.สส.สตม. ได้ตรวจพบสกู๊ปข่าว “เข้มข่าวค่ำ” ซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ PPTV
และสกู๊ปข่าว “สนามข่าว เสาร์-อาทิตย์” ซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ช่อง 7HD นำเสนอข่าวเกี่ยวกับมีผู้เสียหาย
ร้องเรียนว่าเมื่อวันที่ 16 ม.ค.2567 ได้ถูกแก๊งคนต่างชาติชาวผิวสีหลอกให้ลงทุนซื้อขายทองคำ แล้วถูกแอบสลับเงิน
นำธนบัตรดอลลาร์สหรัฐปลอมมาแทนสูญเงินกว่า 1.1 ล้านบาท ผู้เสียหายจึงได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงาน
สอบสวน สน.ลุมพินี ต่อมาศาลอาญากรุงเทพใต้ได้ออกหมายจับผู้ต้องหาตามภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิด ในความผิดฐาน
ลักทรัพย์ โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป จำนวน 2 ราย ได้แก่นายเจสัน และนายเควิน (ไม่ทราบชื่อ
นามสกุลจริงและสัญชาติ) และจากการสืบสวนของ กก.1 บก.สส.สตม. สามารถจับกุม นายเจสันหรือนายคานู
(นามสมมติ) สัญชาติเซียร์ราลีโอน ผู้ต้องหาตามหมายจับ นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ดำเนินคดีตามกฎหมาย
และเพิกถอนวีซ่านายซีเซ่ (นามสมมติ) สัญชาติไลบีเรีย นำตัวส่ง สถานกักกันคนต่างด้าว กก.3 บก.สส.สตม.
ส่วนนายเควินจะได้สืบสวนพิสูจน์ทราบว่าเป็นใครเพื่อติดตามจับกุมต่อไปนั้น
ต่อมาจากการสืบสวนของ กก.1 บก.สส.สตม. พบว่านาย Bobby (นามสมมติ) อายุ 30 ปี สัญชาติไลบีเรีย
มีรูปพรรณสัณฐานคล้ายกับนายเควินผู้ต้องหาตามภาพถ่าย จึงได้นำภาพถ่ายของนาย Bobby ไปให้ผู้เสียหายดู
ผู้เสียหายยืนยันว่าบุคคลตามภาพถ่ายเป็นคนเดียวกันกับนายเควิน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการหลอกขายเม็ดทองคำปลอม
โดยทำหน้าที่เป็นคนนัดหมายเจรจาการซื้อขาย พาผู้เสียหายไปโรงหลอมเพื่อพิสูจน์เม็ดทอง เป็นคนบอกให้ผู้เสียหาย
แลกเงินดอลลาร์ไว้สำหรับการซื้อขายเม็ดทอง และในวันซื้อขายได้อยู่ร่วมกับนายเจสันหรือนายคานูในการแอบสลับเงิน
จึงให้ชุดสืบสวนทำการสืบสวนหาตัวนาย Bobby จนกระทั่งทราบว่า นาย Bobby จะเดินทางไปในพื้นที่ ต.บางพระ
อ.ศรีราชา จว.ชลบุรี จึงได้นำกำลังไปตรวจสอบ เมื่อพบนาย Bobby จากการสอบถามไม่ยอมรับว่าภาพถ่าย
ตามหมายจับเป็นตนเอง จึงได้เชิญนาย Bobby มายัง กก.1 บก.สส.สตม. เพื่อตรวจสอบข้อมูลการเดินทางเข้ามาใน
ประเทศไทย และติดต่อผู้เสียหายให้มาชี้ยืนยัน จึงได้ทำการจับกุมตามหมายจับนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี
ดำเนินคดีตามกฎหมาย

3. สตม.รวบลุงมะกันหื่น Overstay พบประวัติเป็นที่ต้องการตัวของ FBI โดยการปล่อยภาพ
อนาจารเด็ก

กก.4.บก.สส.สตม. จับกุม นายเนกรี หรือ MR.NEGRI (สงวนนามสกุล) อายุ 57 ปี สัญชาติอเมริกัน ข้อหา
เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครราชสีมา ดำเนินคดี
ตามกฎหมาย สถานที่จับกุมริมถนนเลี่ยงเมืองนครราชสีมา หมู่ 8 ต.หนองบัวศาลา อ.เมืองนครราชสีม จว.นครราชสีมา
กก.4 บก.สส.สตม. ได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีคนต่างด้าวน่าสงสัยว่าจะอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาต
สิ้นสุด (OVERSTAY) โดยพบเห็นคนต่างด้าวดังกล่าวพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ หมู่ 8 ต.หนองบัวศาลา อ.เมืองนครราชสีมา
จว.นครราชสีมา จึงได้ไปสืบสวนจนกระทั่งพบคนต่างด้าวลักษณะตรงตามที่สายลับแจ้งมาปรากฏตัวบริเวณริมถนน
เลี่ยงเมืองนครราชสีมา หมู่ 8 ต.หนองบัวศาลา อ.เมืองนครราชสีมา จว.นครราชสีมา จึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ขอตรวจสอบหนังสือเดินทาง ในเบื้องต้นคนต่างด้าวดังกล่าวไม่มีหนังสือเดินทางแสดงต่อเจ้าหน้าที่ โดยแจ้งว่าได้ส่งหนังสือเดินทางไปยัง สอท.สหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย เพื่อขอออกหนังสือเดินทางเล่มใหม่ จึงได้เชิญตัวมายัง
ตม.จว.นครราชสีมา เพื่อตรวจสอบลายนิ้วมือในระบบ Biometric พบว่าคนต่างด้าวดังกล่าวคือ นายเนกรี หรือ
MR.NEGRI (สงวนนามสกุล) อายุ 57 ปี สัญชาติอเมริกัน ซึ่งการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรสิ้นสุดแล้ว จึงได้แจ้ง
ข้อกล่าวหาและจับกุมดำเนินคดีดังกล่าว หลังจากคดีสิ้นสุด กก.3 บก.สส.สตม. จะได้ดำเนินการผลักดันนายเนกรี หรือ
MR.NEGRI ให้เดินทางกลับไปยังสหรัฐอเมริกาต่อไป

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลกับสำนักงานสอบสวนกลาง สถานเอกอัครราชทูตอเมริกา ประจำประเทศไทย
พบว่า นายเนกรี หรือ MR.NEGRI เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของมลรัฐจอร์เจีย และหน่วยงาน FBI ในคดีแสวงหา
ผลประโยชน์จากเด็กและเผยแพร่ภาพอนาจารเด็กลงสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมลรัฐจอร์เจีย และ FBI ต้องการตัวกลับไป
ดำเนินคดีในข้อหาดังกล่าว

4. สตม.รวบเวียดนาม ลอบขายกัญชา ยึดของกลางกว่า 300 กิโล

กก.2 บก.สส.สตม. จับกุมคนต่างด้าวสัญชาติเวียดนาม จำนวน 7 คน ดังนี้
1. MR.ANH VU (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี 2. MR.MANH DUNG (สงวนนามสกุล) อายุ 27 ปี
3. MR.TIEN DUY (สงวนนามสกุล) อายุ 21 ปี 4. MR.LAM NHAT (สงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี
5. MRS.THI LINH (สงวนนามสกุล) อายุ 20 ปี 6. MR.MINH HIEU (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี
7. MR.THANH HUNG (สงวนนามสกุล) อายุ 28 ปี
พร้อมของกลางช่อดอกกัญชา ไม่สามารถระบุสายพันธุ์ได้ จำนวน 300.25 กิโลกรัม กิโลกรัมละ 10,000
บาท รวมมูลค่า 3,002,500 บาท, เครื่องชั่งดิจิทัล จำนวน 2 เครื่อง, เครื่องนับธนบัตร จำนวน 1 เครื่อง, เครื่องซีลบรรจุ
ภัณฑ์ จำนวน 2 เครื่อง, เครื่องซีลสุญญากาศ จำนวน 1 เครื่อง โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันจำหน่ายหรือแปรรูปสมุนไพร
ควบคุมเพื่อการค้าโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ตามมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์
แผนไทย พ.ศ. 2542 และเป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ลาดพร้าว
ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม บ้านพักในซอยลาดพร้าว 107 แยก 26 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ
สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 22 ม.ค.2568 เวลาประมาณ 03.15 น. กก.2 บก.สส.สตม.ได้รับการประสานจาก
กก.สส.ปป.บก.ตม.2 ว่าได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจาก MS.NGUYEN อายุ 27 สัญชาติเวียดนาม โดยการพิมพ์
ข้อความในโทรศัพท์มือถือของตนแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองขาเข้าด่าน ตม.ทอ.สุวรรณภูมิ บก.ตม.2
ว่าไม่ประสงค์ที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย โดยการเดินทางในครั้งนี้ ตนได้เดินทางมาจากประเทศฟิลิปปินส์ จึงได้
สอบถาม MS.NGUYEN แจ้งว่าได้รับการชักชวนจากเพื่อนหญิงชาวเวียดนามใน Facebook ชื่อ sam ทราบภายหลังว่า
ชื่อ MS.LUONG ได้ชักชวนให้ไปเที่ยวที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ภายหลังจึงทราบว่าเป็นการหลอกลวงให้ไป
ทำงานเกี่ยวกับพนันออนไลน์ มีหน้าที่แปลภาษาเวียดนามเป็นภาษาอังกฤษ ในการเดินทางครั้งนี้มีผู้ร่วมเดินทางทั้งหมด
7 คน เป็นคนสัญชาติเวียดนาม จำนวน 5 คน ซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และคนสัญชาติจีน จำนวน 2 คน ได้แก่
MR.PENG (สงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี และ MR.JUNJIAN (สงวนนามสกุล) อายุ 28 ปี โดยคนจีนทั้ง 2 คนนั้น เป็นคน
จัดการเรื่องการจองตั๋วเครื่องบินจากเวียดนามไปยังกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ต่อมา MS.NGUYEN แจ้งกับ
เจ้าหน้าที่ว่าขณะที่ตนพร้อมเพื่อนชาวเวียดนามทั้งหมด อยู่ที่กรุงมะนิลา MR.JUNJIAN ได้ยึดหนังสือเดินทางของพวก
ตนไว้ จะให้พวกตนถือหนังสือเดินทางต่อเมื่อแสดงต่อเจ้าหน้าที่เท่านั้น ต่อมาตนและเพื่อนชาวเวียดนาม ทราบจากการ
พูดคุยว่าคนจีนทั้งสองคน จะนำพวกตนไปส่งขึ้นรถตู้ที่เตรียมไว้ไปส่งที่ อ.แม่สอด จว.ตาก เพื่อข้ามฝั่งไปยังประเทศ
เมียนมา เมื่อทราบดังนั้นจึงตัดสินใจพิมพ์ข้อความขอความช่วยเหลือจากหน้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง
เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองขาเข้าตรวจสอบพบว่า MR.MANH DUNG ได้รับการตรวจอนุญาตให้เดินทางเข้า
ประเทศไทยแล้ว และยังไม่ทราบถึงความปลอดภัยดีหรือไม่เนื่องจาก MR.MANH DUNG ถูกหลอกลวงให้ไปทำงานที่
ประเทศฟิลิปปินส์ เช่นกัน เจ้าหน้าที่จึงตรวจสอบพบว่าเมื่อวันที่ 22 ม.ค.2568 เวลาประมาณ 03.10 น. รถแท็กซี่สีเขียว
ได้ไปส่ง MR.MANH DUNG ที่บ้านหลังหนึ่งในซอยลาดพร้าว 107 แยก 26 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นบ้านสองชั้น เนื้อที่ประมาณ 100 ตรว. มีรั้วรอบขอบชิด กก.2 บก.สส.สตม. จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอ
หมายค้นจากศาลอาญา ผลการตรวจค้นพบ MR.ANH VU แสดงตนเป็นผู้ครอบครองบ้าน และภายในบ้านยังพบ
MR.MANH DUNG ที่เจ้าหน้าที่ได้ติดตามจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ MR.TIEN DUY, MR.LAM NHAT, MRS.THI
LINH, MR.MINH HIEU, MR.THANH HUNG และพบช่อดอกกัญชา ไม่สามารถระบุสายพันธุ์ จำนวน 300.25 กิโลกรัม
พร้อมของกลางอีก 4 รายการ จึงได้ประสานไปยัง เจ้าหน้าที่กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวง
สาธารณสุข เพื่อตรวจสอบช่อกัญชาดังกล่าว โดย MR.ANH VU ได้นำใบอนุญาตให้จำหน่ายหรือแปรรูปสมุนไพรควบคุม
เพื่อการค้ามาแสดง เจ้าหน้าที่ฯ ได้ตรวจสอบใบอนุญาตดังกล่าวพบว่าเป็นใบอนุญาตให้จำหน่ายหรือแปรรูปสมุนไพร
ควบคุมเพื่อการค้า โดยผู้รับใบอนุญาต ได้แก่บริษัท ซึ่งตั้งอยู่ที่ หมู่ 11 ต.ศรีราชา อ.ศรีราชา จว.ชลบุรี ซึ่งใบอนุญาตฯ
ดังกล่าวมีเลขที่ตั้งไม่ตรงกับบ้านหลังดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงได้จับกุมทั้ง 7 คน ดำเนินคดีในข้อหาดังกล่าว

5. ผลการปฏิบัติในส่วนของ สตม. ตามมาตรการแก้ไขปัญหาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและคนต่างด้าวตั้งกลุ่มแก๊งกระทำความผิดหรือประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย และอาชญากรรมข้ามชาติ ตามข้อสั่งการ
ของ ผบ.ตร.

พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. ได้สั่งการให้หน่วย
ในสังกัดดำเนินการตามสั่งการของ ผบ.ตร. โดยกำหนดมาตรการในการดำเนินการ 3 มาตรการ โดยให้เริ่มปฏิบัติตั้งแต่
วันที่ 21 ม.ค.2568 ดังนี้
1. มาตรการในการคัดกรองคนต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร
ให้ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยาน และด่านตรวจคนเข้าเมืองตามแนวชายแดน คัดกรอง
คนต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง, คัดกรองบุคคลต้องห้ามที่ถูกบันทึกไว้ในระบบ
สารสนเทศตรวจคนเข้าเมือง, Red Notice ของตำรวจสากล และคัดกรองบุคคลเพื่อหาข้อบ่งชี้ว่าอาจตกเป็นผู้เสียหาย
การค้ามนุษย์ตามกลไก NRM โดยกำหนดแนวทางการปฏิบัติเป็นมาตรฐาน หรือ SOP เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง
สามารถใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งข้อมูลบุคคลให้เจ้าหน้าที่สืบสวนเพื่อวิเคราะห์ข้อมูล
ดำเนินการต่อไป โดยตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค.2568 ถึงปัจจุบัน ได้ปฏิเสธการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร จำนวน 2,339 ราย
(เมียนมา 933 ราย, ลาว 625 ราย, จีน 298 ราย, อินเดีย 110 ราย, กัมพูชา 61 ราย, เวียดนาม 33 ราย และ อื่น ๆ 279 ราย)
2. มาตรการในการสกัดกั้นคนต่างด้าวที่เดินทาง หรือจะเดินทางไปยังพื้นที่เฝ้าระวัง
โดยวิเคราะห์จากสถานการณ์ในห้วงเดือนที่ผ่านมา มีคนต่างด้าวถูกหลอกลวงจากแก๊ง Cyber Scams
ได้เดินทางเข้ามายังประเทศไทย ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน ลักลอบเดินทางออกตามช่องทางธรรมชาติ โดยเฉพาะในพื้นที่
จว.ตาก ออกไปยังประเทศเมียนมา และต่อมาถูกบังคับใช้แรงงาน อันเป็นรูปแบบหนึ่งของการค้ามนุษย์ จึงให้ทุกหน่วยใน
สังกัด วางมาตรการในการสกัดกั้นไม่ให้คนต่างด้าวที่อาจตกเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ เดินทางเข้าไปยังพื้นที่เฝ้าระวัง
โดยไม่มีเหตุอันสมควร และให้จัดเก็บข้อมูลบุคคล ยานพาหนะ ส่งให้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน โดยตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค.2568
ถึงปัจจุบัน มีการประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไปในพื้นที่ อ.แม่สอด จว.ตาก จำนวน 1,161 ราย
เปลี่ยนใจเดินทางกลับ 23 ราย (จีน 7 ราย, อินโดนีเซีย 10 ราย, อินเดีย 3 ราย, เวียดนาม 2 ราย และ ไนจีเรีย 1 ราย)
3. มาตรการในการสืบสวนสอบสวนป้องกันเหตุ, การสืบสวนสอบสวนดำเนินคดีและขยายผล
ให้ทุกหน่วยจัดทำข้อมูลเครือข่ายการลักลอบคนคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร เครือข่ายขนคน
ผ่านแดน รวมถึงผู้ช่วยเหลือ สนับสนุน อาทิเช่น กลุ่มเครือข่ายรถรับจ้างสาธารณะ หรือรถขนส่งผิดกฎหมาย ที่อาจเข้า
ไปเกี่ยวข้อง ช่วยเหลือ หรือสนับสนุนในการลักลอบคนคนต่างด้าวไปยังประเทศเพื่อนบ้านของไทย ประสานงานกับ
ฝ่ายข่าว หน่วยทหาร ส่วนราชการ และสถานเอกอัครราชทูตประเทศต่าง ๆ ในประเทศไทย เพื่อจัดทำข้อมูลบุคคล
เฝ้าระวัง และรวบรวมข้อมูลบุคคล, ยานพาหนะ วิเคราะห์และบันทึกพฤติการณ์ไว้ในระบบเฝ้าดู (Watch List) เพื่อให้
เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองใช้กำหนดแนวทางในการคัดกรองคนเข้าเมือง โดยได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนดำเนินคดี
และขยายผล ดังนี้
- กรณีของหญิงชาวเวียดนาม ที่ตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้คัดกรองประชาสัมพันธ์
จนทราบว่าตนเองถูกหลอกลวงให้เดินทางมาทำงานในประเทศไทย จึงยกเลิกการเดินทาง ต้องการที่จะเดินทางกลับประเทศเวียดนาม ได้อำนวยความสะดวกในการเดินทางกลับ และนำข้อมูลที่ได้จากการคัดกรอง สืบสวนขยายผลไปยัง
ชาวเวียดนามที่เดินทางมาพร้อมกัน กลุ่มบุคคลที่มารับ และยานพาหนะ จนสามารถสืบสวนไปพบกลุ่มชาวเวียดนาม
กลุ่มนี้ ที่มีพฤติการณ์ลักลอบค้ากัญชา โดยตรวจค้นพบกัญชา กว่า 300 กิโลกรัมในบ้านพัก
- กรณีที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ได้รับการประสานจาก สำนักงานเลขาธิการด้านความมั่นคง
(Office of the Secretary for Security) เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ขอให้ความช่วยเหลือชาวจีน-ฮ่องกง 12 ราย ที่ตก
เป็นเหยื่อขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมีย





คำที่เกี่ยวข้อง : #สตม.  









©2018 CK News. All rights reserved.