วันที่ 26 พ.ย.2567 พลตำรวจโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. ได้มอบหมายให้นายอภิกิต ฉ.โรจน์ประเสริฐ รองเลขาธิการ ป.ป.ส. เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย พร้อมด้วย นางสาวพรทิพย์ แจ่มพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงาน ปปส. ภาค 2 นางสาวศรีตระกูล เวลาดี ผู้อำนวยการสำนักการต่างประเทศ และผู้แทนจากกองสำนักที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการศึกษาดูงานด้านการสกัดกั้นปราบปรามยาเสพติด ระหว่างวันอาทิตย์ที่ 24 - วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน 2567 (รวมวันเดินทางไป - กลับ) ณ นครโฮจิมินห์ จังหวัดบินห์ถ่วน และจังหวัดหวุงเต่า สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2567 เวลา 14.00 – 16.00 น. นายอภิกิต ฉ.โรจน์ประเสริฐ รองเลขาธิการ ป.ป.ส. ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย นำคณะเดินทางเข้าศึกษาดูงานด้านการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด ณ หน่วยยามฝั่งเวียดนาม ภาค 3 (Viet Nam Coast Guard Region 3) จังหวัดหวุงเต่า สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยพันเอกอาวุโส เหวียน ดึ๊ก เฮียว (Senior Colonel Nguyen Duc Hieu) รองผู้บัญชาการหน่วยยามฝั่งเวียดนาม ภาค 3 และคณะให้การต้อนรับ ทั้งนี้ หน่วยยามฝั่งเวียดนาม (Viet Nam Coast Guard) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2556 โดยการยกระดับจากกรมตำรวจน้ำเวียดนาม (Vietnam Marine Police) สู่การเป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทางทะเลในรูปแบบกึ่งทหาร ภายใต้สังกัดกระทรวงกลาโหม มีภารกิจสำคัญ ได้แก่ การปกป้องผลประโยชน์ของรัฐและสิทธิอธิปไตยในน่านน้ำเวียดนาม การค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเล รวมถึงการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิด เช่น การกระทำอันเป็นโจรสลัด การลักลอบขนส่งสินค้าผิดกฎหมาย การค้ายาเสพติด และอาชญากรรมทางทะเลอื่น ๆ ซึ่งหน่วยยามฝั่งเวียดนามแบ่งพื้นที่ปฏิบัติการออกเป็น 4 ภาค ครอบคลุมความยาวชายฝั่งกว่า 3,400 กิโลเมตร ได้แก่ พื้นที่น่านน้ำทางทะเลในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงใต้ และภาคตะวันตกเฉียงใต้ (ด้านติดกับอ่าวไทย) หน่วยงานนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในหน่วยงานสำคัญของรัฐบาลเวียดนาม ด้วยผลการดำเนินงานที่โดดเด่น และได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในด้านงบประมาณและยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง เพื่อรองรับภารกิจในพื้นที่ทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์ทางการค้าและความมั่นคงที่สำคัญระดับโลก
สำหรับประเด็นด้านยาเสพติด รองผู้บัญชาการหน่วยยามฝั่งเวียดนาม ภาค 3 กล่าวว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา อาชญากรรมยาเสพติดทางทะเลมีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น โดยพบการใช้เส้นทางทะเลในการลักลอบขนส่งยาเสพติดและเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการที่เวียดนามมีชายฝั่งทะเลยาว และน่านน้ำในทะเลจีนใต้เป็นเส้นทางขนส่งสินค้าที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ทำให้เกิดความท้าทายในการป้องกันอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการลักลอบขนส่งยาเสพติด โดยเฉพาะในพื้นที่น่านน้ำทางภาคใต้ของประเทศ บริเวณใกล้กับนครโฮจิมินห์ และพื้นที่ต่อเนื่องกับน่านน้ำของกัมพูชาและไทย ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยยามฝั่งภาค 3 และ 4 ถือเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการลักลอบขนส่งยาเสพติด โดยพบว่าเครือข่ายนักค้ายาเสพติดชาวจีนและไต้หวันมักเปิดกิจการค้าขายยาและเวชภัณฑ์เพื่ออำพรางการลักลอบลำเลียงยาเสพติดในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังพบการลำเลียงยาเสพติดรูปแบบใหม่ โดยนักค้ายาเสพติดจะนำยาเสพติดทิ้งลงในทะเลและแจ้งพิกัดให้เรือลำอื่นมารับยาเสพติดดังกล่าวเพื่อนำไปขนส่งต่อไป ทั้งนี้ ที่ผ่านมา หน่วยยามฝั่งเวียดนามได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมตำรวจต่อสู้ยาเสพติด กองทัพเรือ และกรมศุลกากร ในการเข้าตรวจยึดและจับกุมยาเสพติดในคดีสำคัญ อาทิ กรณี ปี 2566: จับกุมนักค้ายาเสพติดเป้าหมายชาวไต้หวัน พร้อมตรวจยึดเคตามีน 1.3 ตัน โดยมีการเปิดบริษัทผลิตยาและเวชภัณฑ์เพื่ออำพรางและสั่งซื้อเคมีภัณฑ์ตั้งต้นสำหรับผลิตยาเสพติด เพื่อนำเข้าไปยังแหล่งผลิตในพื้นที่ สปป.ลาว ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าเคยลักลอบนำเข้าเคตามีน 500 กิโลกรัมเข้าไปยัง สปป.ลาว ทั้งนี้เสนอส่งเสริมความร่วมมือกับ สนง.ป.ป.ส. และฝ่ายไทยใน 4 ประเด็น ได้แก่ 1. การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารด้านยาเสพติด 2 เสนอแนวทางการพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด 3. ความร่วมมือในการลาดตระเวนทางทะเลเพื่อตรวจตราการกระทำผิดในคดียาเสพติด และ 4. การเพิ่มความร่วมมือในการสืบสวนสอบสวนเครือข่ายนักค้ายาเสพติดเป้าหมายที่ก่ออาชญากรรมทางทะเลต่อไป
ในโอกาสนี้ ผอ.ปปส. ภาค 2 ได้ร่วมแลกเปลี่ยนสถานการณ์และรูปแบบการกระทำความผิดการลักลอบลำเลียงยาเสพติดทางทะเล เพื่อหารือส่งเสริม แนวทางความร่วมมือระหว่างกัน โดย นายอภิกิต ฉ.โรจน์ประเสริฐ รองเลขาธิการ ป.ป.ส. ได้กล่าวสรุปถึงสถานการณ์ยาเสพติดในปัจจุบัน โดยชี้ให้เห็นว่าทั้งไทยและเวียดนามต่างประสบปัญหาการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ รวมถึงการลักลอบนำเคมีภัณฑ์เข้าสู่แหล่งผลิต นอกจากนี้ ยังพบการใช้เส้นทางลำเลียงยาเสพติดทางทะเลเพิ่มมากขึ้นในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ทั้งในพื้นที่ทะเลอ่าวไทย ทะเลอันดามัน และทะเลจีนใต้ โดยมีการตรวจยึดยาเสพติดจำนวนมากขึ้นทั่วทั้งภูมิภาค อีกทั้งยังพบกรณีที่ยาเสพติดลอยมาติดชายฝั่ง ซึ่งเป็นผลจากเรือขนส่งยาเสพติดที่ล่มกลางทะเล ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะสำนักงาน ป.ป.ส. และกรมตำรวจต่อสู้ยาเสพติดของเวียดนาม มีความร่วมมือใกล้ชิดมาโดยตลอด โดยเฉพาะในด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดทางทะเล ซึ่งมีการประสานงานผ่านกลไกการสกัดกั้นยาเสพติดทางท่าเรือ (Seaport Interdiction Task Force – SITF) และการร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ของไทย เช่น ตำรวจน้ำ กองทัพเรือ กรมศุลกากร และศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) ซึ่ง รองเลขาธิการ ป.ป.ส. ยังได้กล่าวชื่นชมความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยยามฝั่งเวียดนามกับ ศรชล. ภายใต้การจัดทำบันทึกความเข้าใจร่วมกัน ซึ่งถือเป็นกรอบความร่วมมือสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมการทำงานระหว่างทั้งสองประเทศและทำงานร่วมกันตามที่ทางฝ่ายเวียดนามเสนอได้อย่างมีประสิทธิภาพในอนาตพร้อมเน้นย้ำว่า หัวใจสำคัญของการทำงานด้านสืบสวนและปราบปรามยาเสพติด คือการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารร่วมกัน โดยการศึกษาดูงานที่หน่วยยามฝั่งเวียดนาม ภาค 3 ในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกันในอนาคต โดยฝ่ายไทยมี นายธนพล ธนิกกุล อัครราชทูตที่ปรึกษาด้านควบคุมยาเสพติด ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย เป็นผู้ประสานงานในเรื่องดังกล่าวกับฝ่ายเวียดนาม นอกจากนี้ รองเลขาธิการ ป.ป.ส. ยังยืนยันถึงความพร้อมของฝ่ายไทยในการสนับสนุนการพัฒนาองค์ความรู้ด้านปราบปรามยาเสพติด ผ่านการจัดฝึกอบรมสำหรับเจ้าหน้าที่ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ส. จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในโอกาสนี้ รองผู้บัญชาการหน่วยยามฝั่งเวียดนาม ภาค 3 ได้กล่าวขอบคุณรองเลขาธิการ ป.ป.ส. และคณะผู้แทนไทยที่ให้เกียรติมาเยี่ยมชมและร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในวันนี้ และหวังว่าจะได้พัฒนาความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดร่วมกันอย่างต่อเนื่องในอนาคต
หลังจากนั้นในเวลา 18.30 น. ณ นครโฮจิมินห์ พันตำรวจเอกอาวุโส ฮว่าง ทัม เฮียว (Pol.Sr.Col. Hoang Tam Hieu) รองอธิบดีกรมตำรวจต่อสู้ยาเสพติด และคณะผู้แทนฝ่ายเวียดนาม ได้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำรับรองคณะผู้แทนไทย ในโอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือความร่วมมือร่วมกันสรุปได้ดังนี้ (1) ฝ่ายเวียดนามขอขอบคุณความร่วมมืออันยาวนานกับประเทศไทย ซึ่งได้สร้างความใกล้ชิดในการทำงานร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีล่าสุดที่นำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับจากเวียดนามในประเทศไทยได้สำเร็จ (2) ฝ่ายเวียดนามแจ้งว่าขณะนี้กรมตำรวจต่อสู้ยาเสพติดอยู่ระหว่างการปรับปรุงอาคารสำนักงาน โดยจะได้ติดตั้งอุปกรณ์ที่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศไทยภายใต้โครงการ LOA ในกรอบโครงการแม่น้ำโขงปลอดภัย ซึ่งฝ่ายเวียดนามชื่นชมบทบาทและการดำเนินการของฝ่ายไทยในการดำเนินโครงการฯ ดังกล่าวและยินดีที่จะให้การสนับสนุนต่อไป และเมื่อการก่อสร้างอาคารสำนักงานใหม่เสร็จสมบูรณ์ ฝ่ายเวียดนามจะพิจารณาเรียนเชิญผู้แทนระหว่างประเทศรวมถึงผู้แทนไทย เข้าร่วมในพิธีเปิดต่อไป (3) สำหรับการดำเนินโครงการแม่น้ำโขงปลอดภัย ฝ่ายเวียดนามยืนยันความพร้อมที่จะสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพในอนาคต โดยยึดหลักการการแบ่งปันความรับผิดชอบ เช่นเดียวกัน โดยอาจจะดำเนินการหลังจากกัมพูชาที่จะได้แสดงเจตนารมณ์ในการเป็นเจ้าภาพไว้ก่อนหน้า และ (4) ฝ่ายเวียดนามเห็นว่า โครงการแลกเปลี่ยนบุคลากรเพื่อการเรียนรู้ด้านภาษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งผู้แทนไปศึกษาที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจของไทย เป็นโครงการที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง โดยช่วยเพิ่มทักษะด้านการสื่อสารและความเข้าใจระหว่างกัน ตลอดจนส่งเสริมความร่วมมือในด้านการปฏิบัติงานร่วมกันในอนาคต ซึ่งฝ่ายเวียดนามหวังว่าจะมีการสนับสนุนโครงการแลกเปลี่ยนบุคลากรปฏิบัติงานระหว่างสองประเทศเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ทัั้งสองฝ่าย ยังได้เห็นชอบในหลักการเบื้องต้นสำหรับการจัดการประชุมทวิภาคีด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดระหว่างสองประเทศ ในห้วงเดือนกันยายน 2568 ณ เมืองซาปา จังหวัดเล่าห์กาย ต่อไป
©2018 CK News. All rights reserved.