วันที่ 10 พ.ย.2567 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่ ก.ตร.มีมติให้ พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ เป็น ผบ.ตร.ตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา ผบ.ตร.ได้กำชับตำรวจทุกนายว่า ต้องให้บริการประชาชนทุกคน อย่างเป็นธรรมและรักษากฎหมายและผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นต้องเร่งรัดและตั้งใจทำงานกับคดีต่างๆที่สังคมให้ความสนใจในช่วงนี้อย่างรวดเร็ว เช่น คดีป๋าเบียร์และแม่ตั๊กฉ้อโกงประชาชนในการหลอกขายทองคำ ,คดีดิ ไอคอนกรุ๊ปฉ้อโกงประชาชน ,คดีภรรยาบิ๊กตำรวจ และคู่กรณี ,คดีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ,คดีตำรวจ 6 นาย ร่วมกันอุ้มและรีดทรัพย์ชาวจีน ,คดีบ่อนและพนันออนไลน์ ,คดีทุนจีนสีเทา ,คดีหลอกลวงประชาชนทางสังคมออนไลน์ ,การจับกุมผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่จำนวนมากและคดีอื่นๆที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ เพราะ ผบ.ตร.ให้นโยบายกับผู้ใต้บังคับบัญชาว่า ทุกคดีที่เกิดขึ้นต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว รอบคอบ เป็นธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อสร้างชื่อเสียงที่ดีและกอบกู้ภาพลักษณ์ขององค์กรตำรวจให้สังคมเชื่อมั่นอีกครั้ง หากตำรวจรายใดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ผบ.ตร.เน้นว่าต้องดำเนินคดีถึงที่สุดอย่างเด็ดขาดทุกราย
สำหรับ กรณีที่ปรากฏทางสื่อว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทำเรื่องขอเวชระเบียนการรักษาตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะที่รับโทษ จากโรงพยาบาลตำรวจ ชั้น 14 ไปถึง 3 ครั้ง แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ นั้น ตนรับทราบเรื่องดังกล่าวแล้วว่า มีหน่วยงานหรือองค์กรอิสระติดต่อขอข้อมูลการรักษาตัวของทักษิณ จากโรงพยาบาลตำรวจ
“แต่ในส่วนของการบริหารราชการ ถึงแม้ตนจะเป็นผู้บังคับบัญชา แต่อำนาจสิทธิ์ขาดขึ้นอยู่ กับคณะกรรมการของโรงพยาบาลตำรวจที่จะต้องพิจารณาคำร้องขอว่าสามารถให้ได้หรือไม่ อย่างไร ขอยืนยันว่า ประเด็นนี้โรงพยาบาลตำรวจไม่จำเป็นต้องขอความเห็นจาก ผบ.ตร. ส่วนเรื่องดังกล่าวจะมีนัยยะอะไรหรือไม่ ตนไม่ทราบ แต่กำชับให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
สำหรับในส่วนกรณีของฝ่ายการเมือง นักเคลื่อนไหวทางสังคม และนักกฎหมายบางคน พยายามกดดันมาที่ตน
ว่า ผบ.ตร.ต้องสั่งการให้โรงพยาบาลตำรวจส่งข้อมูลของนายทักษิณให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการต่อ หาก ผบ.ตร.ไม่กระทำ อาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา157 นั้น หากพิจารณาสิ่งที่ได้กล่าวกับสื่อมวลชนในเรื่องนี้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ขอชี้แจงว่า กรณีของนายทักษิณนั้น ผบ.ตร. จะไม่แทรกแซงการทำงาน การพิจารณาและการตัดสินใจของหน่วยงานในสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้ ที่ต้องพิจารณาในรูปแบบของคณะกรรมการ โดยขอให้ไล่เรียงไทม์ไลน์กรณีนี้ด้วยว่า นายทักษิณ กลับประเทศและไปรายงานตัวต่อศาลและเข้าเรือนจำในวันที่ 22 ส.ค.2566 และรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ 181 วัน โดยช่วงนั้นผู้บังคับบัญชาที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติคือ พลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์และพลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล อดีต ผบ.ตร. โดยช่วงนั้น
ตนได้รับการแบ่งงานจาก พลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์ ให้กำกับดูแลหัวหน้าศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ศปปง.ตร.),ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.)และพลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ มอบให้พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ รับผิดชอบงานป้องกันและปราบปราม
ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า หากพิจารณาไทม์ไลน์อย่างเป็นธรรมจะพบว่า การรับผิดชอบหน้าที่ของตนในช่วงที่เป็นรอง ผบ.ตร.กับกรณีนายทักษิณที่เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจนั้น จะพบว่า ในช่วงนั้นตนไม่ได้เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลตำรวจเลย แต่กระแสกดดันจากหลายฝ่ายในตอนนี้ที่พยายามโยงว่า ผบ.ตร.อาจไม่ให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลของนายทักษิณและอาจมีความผิดไปด้วยนั้น ต้องพิจารณาข้อกฎหมายและเคารพการพิจารณาของคณะกรรมการของโรงพยาบาลตำรวจในกรณีนี้ด้วย หากบางฝ่ายระบุว่าผบ.ตร.มีอำนาจสั่งการให้โรงพยาบาลตำรวจดำเนินการในเรื่องนี้ได้นั้น ควรพิจารณาอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายที่มอบให้ ผบ.ตร.รับผิดชอบด้วยว่ากระทำ,ไม่กระทำอะไรได้บ้าง ขอ ยืนยันว่า แม้วันนี้ ผบ.ตร.มีอำนาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย แต่ ผบ.ตร.ก็ต้องเคารพกฎหมายเหมือนประชาชนทุกคน ดังนั้น ผบ.ตร.จะกระทำในสิ่งนอกเหนือกฎหมายให้อำนาจหน้าที่ไม่ได้
โดยตามนโยบายของตนคือคือทำดียกย่อง สรรเสริญ เชิดชู ให้รางวัล แต่ถ้าทำผิด ต้องมีความเด็ดขาดในการดำเนินการทางวินัย ซึ่งต้องการให้สังคมรับรู้ถึงภาวะความเป็นผู้นำ ที่ปราถนาให้ข้าราชการตำรวจเป็นข้าราชการที่ดีของประชาชนให้ได้ ”ผบ.ตร.กล่าว“
©2018 CK News. All rights reserved.