วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2567 บริเวณป่าทิศใต้วัดเขาศาลา ตำบลจรัส อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยทับทัน-ห้วยสำราญ เขตทับซ้อนเขตป่าไม้ถาวรป่าที่คณะรัฐมนตรี มีมติให้เก็บรักษาไว้ให้เป็นสมบัติของชาติ ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.อ. อิทธิพล พงษ์ธร ผกก.กก.สืบสวน มอบหมายให้ พ.ต.ท.วิชิตเวช ต๊ะผัด รองผกก.สืบสวน พ.ต.ท.สาโรจณ์ ตระกูลโศภิษฐ์ พ.ต.ต. คธาวุธ โทบุดดี สว.กก.สืบสวน ภ.จว.สุรินทร์ สั่งการให้ชุด ปทส.กก.สืบสวนร่วมกับเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยทับทัน-ห้วยสำราญ ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ Smart ชุดที่ 05 (หน่วยพิทักษ์ป่าเขาศาลา), เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนร้อย ตชด.214 เจ้าหน้าที่เขดรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหัวยทับฟัน ห้วยสำราญ ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ Smart ชุดที่ 5 (หน่วยพิทักษ์ป่าเขาศาลา)เจ้าหน้าที่ตำรวจชุด ปทส.กก.สีบสวน ภ.จว.สุรินทร์, เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนร้อย ตชด.214 ได้สนธิกำลังร่วมกันลาดตระเวนเพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง บริเวณพื้นที่ป่าด้านทิศเหนือหลักเขตแดนที่ 3 ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยทับทัน ห้วยสำราญ ลาดตระเวนไปถึงบริเวณพื้นที่ป่าด้านทิศเหนือช่องกะปู คณะเจ้าหน้าที่ชุตลาดตระเวนพบร่องรอยเท้าคนปรากฏตามสันทางเดินเท้าในบำ คณะเจ้าหน้าที่ชุดลาดตระเวนชุดตังกล่าวจึงได้ติดตามร่องรอยดังกล่าวไป
จนถึงบริเวณป้าต้านทิศใต้วัดเขาศาลา ได้พบกลุ่มคนจำนวน 4 คน กำลังช่วยกันเลื่อยตัตไม้ทอน คณะเจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเป็นพนักงนเจ้หน้าที่เพื่อเข้าจับกุม พอกลุ่มคนตังกล่าวฯเห็นและทราบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ได้ทิ้งสิ่งของแล้วแยกย้ายกันวิ่งหลบหนีไปนละทิศละทาง คณะเจ้าหน้าที่ได้วิ่งไล่ติดตาม จับกุมตัวคน ขณะวิ่งไล่ติดตามจับกุมตัวนั้นปรากฏว่าชายที่วิ่งหลบหนีจำนวน 1 คน ได้วิ่งชนต้นไม้ร้องรอยบาดแผลบริเวณได้ขอบตาต้านซ้าย คณะเจ้าหนำที่จึงใด้นำตัวมาสอบถาม ขณะทำการสอบถามชายคนตังกล่าวไม่มีเอกสารหลักฐานใดมายืนยันว่พวกตนฯเป็นใคร แต่อ้างว่าตนฯชื่อ นายสอน เซี๊ยะ อายุ 39 ปี บ้านตรุยสวาย ต.ตะเบียงตราว อ.อัลส่องเวง จ.อุดรมีชัย ส่วนชายอีกคนที่ถูกจับกุมตัวได้นั้นอ้างว่าตนฯชื่อ นายทอน เอย อายุ54 ปีบ้านตรุยสวาย ต.ตะเบียงตราว อ.อัลลองเวง จ.อุตรมีชัย จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงได้กระจายกำลังตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุ พบตันพะยูงถูกตัดโค่นล้มลงคาต่อ จำนวน1 ต้น และถูกตัดทอนให้เป็นท่อนเสร็จแล้ว จำนวน 3ท่อน คณะเจ้าหน้าที่ได้วัดไม้พะยูงทั้ง 3 ท่อน คิดเป็นปริมาตรรวมใต้ 0.109 บ.ม. คิดเป็นค่าภาคหลวงรวมได้872 บาท คิดเป็นคำความเสียห่ายของรัฐรวมได้ 27,650 บท บริเวณใกล้กันพบโคมไฟงายคาดศีรษะ และ เลื่อยตัด จำนวน 3 ปื้น ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ รายละเอียดปรากฏตามรายการบัญชีไม้ท่อน ไม้แปรรูป และรายการบัญชีอุปกรณ์ของกลาง ซึ่งไม้พะยูงทั้งหมดจำนวน 3 ท่อน มีลักษณะใหม่สดถูกตัดท่อน ให้เป็นท่อนด้วยเลื่อยตัด ที่หน้าตัดของไม้พะยูงทุกท่อนไม่พบรูปรอยดวงตราคำภาคหลวง หรือ รอยตรารัฐบาลชายแต่อย่างใต ไม้พะยูง (Datbergia spp.) เป็นไม้หวงห้าม
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้กล่าวหาชาวกัมพูชา ว่า มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 11 ฐาน “ร่วมกันทำไม้พะยูงหวงห้าม โดยมิได้รับอนุญาต” มาตรา 69 ฐาน “ร่วมกันครอบครองซึ่งไม้พะยูงหวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปโดยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวง หรือ รอยตรารัฐบาลขายโดยไม่ได้รับอนุญาต” พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 มาตรา 53 วรรคหนึ่ง ฐาน “ร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต” มาตรา 55 วรรคหนึ่ง (5) ฐาน “ร่วมกันเก็บหา นำออกไป กระทำด้วยประการใด ๆ ให้เป็นอันตราย หรือทำให้เสื่อมสภาพซึ่งไม้ หรือทรัพยากรธรรมชาติอื่น โดยไม่ได้รับอนุญาต” และ พ.ร.บ. หลบหนีเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ฐาน”เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” นำส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรบัว เชด ต.บัวเชด อ.บัวเชด จ.สุรินทร์ ดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป
©2018 CK News. All rights reserved.