วันที่ 9 ต.ค. 2566 นายไชยา พรหมา รมช.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่มอบนโยบายและแนวทางขับเคลื่อนด้านอุตสาหกรรม ณ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) ว่า งานของ อ.ส.ค. ถ้าเปรียบเสมือนเจดีย์ที่มีความสง่างาม มั่นคง จะต้องมีฐานที่กว้างขวาง แข็งแรง เฉกเช่นการส่งเสริมการเลี้ยงโคนมที่เป็นภารกิจหลักของ อ.ส.ค. ให้มีความมั่นคง แข็งแกร่งมากขึ้น โดยปัจจุบันการส่งเสริมการเลี้ยงโคนมมีอุปสรรคจากการเกิดโรคระบาดในวัว (ลัมปิสกิน) และต้นทุนอาหารสูงจนเกษตรกรเลิกเลี้ยงโคนมจำนวนมาก ส่งผลให้น้ำนมดิบมีปริมาณลดลง 

"ถ้าเราบริหารงานเชิงนักธุรกิจสมัยใหม่ เกษตรกรก็จะไม่มีการยื่นหนังสือร้องเรียนเข้ามาที่สภา เราอาจจะรีแบรน อสค .เพื่อสร้างธุรกิจให้เป็นสากลมากกว่านี้ คิดว่ามันจะเป็นได้หรือไม่"

 

ทั้งนี้จากการรับฟังทราบผลประกอบการย้อนหลังปี 64 ขาดทุน 140 ล้านบาท

ปี 65และปี 66 แบกภาระต้นทุนน้ำนม3.75 บาท/กิโล โดนค่าใช้จ่ายเต็มๆ ตอนนี้ทำแผนเสนอมิ้วบอร์ด 6 เดือนหลัง มีกำไรจริง แต่ไม่ได้เยอะ 

 ส่วนปี 67 อสค.บอกว่าจะมีกำไรไม่น้อยกว่า 65 ล้านน่าจะทำได้ แต่ผมขอดูว่าแผนจะทำยังไงให้ได้ 65 ล้าน 

อยากเห็นภาพการบริหารยุคใหม่ 

อย่างก็ตามได้หารือกับผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อหาแหล่งเงินทุนให้เกษตรกรซื้อแม่วัวเพิ่ม และใช้ดูแลการผลิตอาหาร เช่น การแปลงหญ้า ข้าวโพด ให้มากขึ้น รวมถึงมอบนโยบายรัฐบาล “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ให้แก่ อ.ส.ค. ใช้เป็นแนวทางไปสร้างรายได้ให้เกษตรกรเพิ่มขึ้น อาทิ ผลักดันแบรนด์ อ.ส.ค. ให้ติดตลาดคนไทย และป้องกันคู่ค้าจากต่างประเทศจาก FTA ในปี พ.ศ. 2568 พร้อมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวฟาร์มโคนมและผลิตภัณฑ์นมของ อ.ส.ค. ให้น่าสนใจและมีนักท่องเที่ยวมากขึ้น รวมถึงงานโคนมแห่งชาติควรจัดแผนงานให้มีผู้คนสนใจเดินทางมาเข้าร่วมเทียบเท่างานเกษตรแฟร์ เนื่องจากแหล่งท่องเที่ยวจะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ดี และมีผลตอบแทนที่รวดเร็ว