จับช่างทำกระจก ชิงทองห้างดัง อ้างใช้หนี้พนันนับล้าน


10 ส.ค. 2566, 18:53

จับช่างทำกระจก ชิงทองห้างดัง อ้างใช้หนี้พนันนับล้าน




วันที่ 10 ส.ค. 2566 พล.ต.ต.อรรถพล อนุสิทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 แถลงผลจับกุม นายวินัย พร้อมของกลาง ทองรูปพรรณ น้ำหนักรวม 28 บาท เงินสดจำนวน 6,000บาท ระเบิดปลอม โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง และชุดที่ใช้ในการก่อเหตุ หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถควบคุมตัวได้ที่ย่านเอกมัย

พล.ต.ต.อรรถพล เปิดเผยว่า ผู้ก่อเหตุมีอาชีพรับทำกระจกอะลูมิเนียม อยู่กินกับครอบครัว โดยมีภรรยา 1 คน และลูกอีก 3 คน แต่ว่าติดการพนันออนไลน์เป็นเงินเกือบ 1 ล้านบาท จึงนำเงินมัดจำของลูกค้าไปใช้หนี้พนันจนเงินหมุนไม่ทัน เมื่อลูกค้าทวงถาม จึงทำให้เกิดความกดดันตัดสินใจก่อเหตุดังกล่าวขึ้น

ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่า ก่อเหตุเพียงคนเดียว ใช้เจลแอลกอฮอล์ผสมทินเนอร์เข้าไปข่มขู่พนักงานในร้านทองว่า จะเผาร้าน ก่อนลงมือก่อเหตุและหลบหนี

หลังจากนั้น นายวินัย ได้ไปนอนที่บ้านเพื่อนภายในซอยรามอินทรา 31 แล้วจอดรถกระบะที่ใช้ก่อเหตุทิ้งไว้ ก่อนถูกตำรวจตามไปจับกุมได้ที่ย่านเอกมัย ขณะเอาเงินไปเที่ยวอาบอบนวด เมื่อตรวจค้นพบทองรูปพรรณของกลางอยู่ในกระเป๋าสะพาย และเงินสดของกลางอีกจำนวนหนึ่ง โดยนายวินัยอ้างว่า ได้นำเงินสดของกลางไปโอนใช้หนี้ค่าวัสดุทำกระจกอะลูมิเนียม จำนวนกว่า 1 แสนบาท

จากการสอบปากคำยังพบว่า ก่อนหน้านี้ ผู้ก่อเหตุได้มีการวางแผนจะก่อเหตุถึง 2 ครั้ง แต่ยังไม่ทันได้ลงมือ ครั้งแรกจะก่อเหตุชิงทรัพย์ธนาคารแห่งหนึ่ง ย่าน กม.4 ถนนรามอินทรา โดยเตรียมระเบิดเวลาปลอมไว้ก่อเหตุ แต่ต้องเปลี่ยนใจล้มล้มเลิกไป เพราะแม่โทรศัพท์มาหาพอดี

ส่วนครั้งที่ 2 เตรียมก่อเหตุที่ร้านทองในห้างดังกล่าวเช่นกัน แต่ในขณะที่เตรียมก่อเหตุนั้น การจราจรติดขัด จึงตัดสินใจล้มเลิกไป จนกระทั่งมาก่อเหตุในครั้งนี้

สำหรับทองรูปพรรณที่ถูกที่ถูกชิงทรัพย์ไป ผู้ต้องหา อ้างว่า สามารถนำไปได้ 28 บาท เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงให้เจ้าของร้านทองมายืนยันจำนวนทองรูปพรรณว่า ได้ครบถ้วน หรือไม่ ซึ่งพนักงานสอบสวน ระบุว่า เจ้าของร้านยืนยันว่า คนร้ายได้ทองไป 28 บาท

เบื้องต้นแจ้งข้อหา “ชิงทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะ” ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.สายไหม เมื่อสอบสวนผู้ต้องหาแล้วเสร็จ ก็จะนำตัวส่งฝากขังในวันพรุ่งนี้ต่อไป โดยพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว 





คำที่เกี่ยวข้อง : #ชิงทอง  









©2018 CK News. All rights reserved.